มีข้อสันนิษฐานว่า
ต้นตระกูลของแคคตัสนั้นเริ่มเกิดขึ้นใน ช่วงปลายของยุค Mesozoic
และช่วงต้นของยุค Tertiary ซึ่งเป็นยุคที่พืชมีดอกมีการ
พัฒนามากที่สุด เดิมต้นแคคตัสมีลักษณะไม่แตกต่างไปจากพืชอื่นมากนัก เช่น สกุล (genus)
Pereskia ซึ่งยังตงมีใบที่แท้จริงและทรงต้นเหมือนพิชอื่นทั่วไปแต่ด้วย
เหตุที่ต้องผจญภัยกับสภาพอากาศซึ่งเลวลงตลอดเวลา โดยเฉพาะเวลาที่น้ำฝนลด
ลงและอากาศร้อนแห้งแล้งจึงมีผลกระทบต่อพืชในเขตอเมริกาใต้ซึ่งได้รับแสงอาทิตย์
โดยตรงและต้องพัฒนาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้สามารถต้านทานต่อช่วงอุณหภูมิที่สูง
ขึ้นนี้ ด้วยการสะสมน้ำเป็นจำนวนมากไว้ที่ลำต้นทำให้ลำต้นมีลักษณะอวบอ้วนและ
สั้นลง แคคตัสเป็นพืชพื้นเมืองที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกา และมีการแพร่กระ
จายพันธุ์ไปยังแหล่งอื่น ๆ ด้วยวิธีการต่าง ๆ กัน เช่น แคคตัสสกุล Rhipsalis
แพร่ พันธุ์อยู่ในประเทศแอฟริกาและอินเดียโดยนก หรือแคคตัสสกุล Opuntia
บางชนิด ที่มีผู้นำเข้าไปปลูกเลี้นงในยุโรปเป็นต้น ส่วนในประเทศไทย
ไม่มีบันทึกแน่ชัดว่ามี การนำแคคตัสเข้ามาปลูกเลี้ยงเมื่อใด แต่น่าจะยาวนานกว่า 30 ปี โดยในสมัยก่อนมี แคคตัสเพียงไม่กี่พันธุ์ เช่นที่เราเรียกกันว่า
ใบเสมา(Opuntia) โบตั๋น (Rhipsalis) เป็นต้น
โดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่มักคิดว่า ต้นไม้ที่มีหนามมักเป็นแคคตัส
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วแคคตัสบางสกุล เช่น Lophophora หรือ
Astrophytum บาง ชนิดก็ไม่มีหนาม แต่ถูกจัดว่าเป็นแคคตัส
ในขณะที่ไม้อวบน้ำ บางสกุล เช่น Euphor- bia ก็มีหนาม
แต่ก็ไม่จัดว่าเป็นแคคตัส
หลักพฤกษาศาสตร์กล่าวว่า พืชที่จัดเป็นแคคตัสหรือจัดอยู่ในวงค์ Cactaceae
นั้นเป็นไม้ยืนต้น และจะต้องมีบริเวณพื้นที่ที่เรียกว่า "
ตุ่มหนาม "บริเวณ ดังกล่าวนี้จเป็นที่ที่พบกลุ่มของหนามหรือขนแข็งขึ้นอยู่
และเรียงไปตามแนวซี่หรือ สันสูงของต้นอย่างเป็นระเบียบ อีกทั้งยังเป็นบริเวณที่เกิดตาดอกและแตกกิ่งใหม่
ของต้นอีกด้วย ส่วนในไม้อวบน้ำประเภทที่มีหนามนั้น หนามจะขึ้นเดี่ยว กระจัด
กระจายไม่เป็นระเบียบไปรอบ ๆ ต้น และไม่พบบริเวณตุ่มหนามเหมือนในแคคตัส
อีกทั้งพืชทั้งสองกลุ่มที่มีหนามนั้นอยู่กันคนละวงค์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น